ใจทรงธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์พระ วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เรื่องของโลก เราอยู่กับโลก มันก็มีเรื่องของโลกเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เราสละโลกมาแล้วนะ สละโลกมาแล้วแต่เราก็อยู่กับโลก ฉะนั้นเราจะวางตัวอย่างไร เราเป็นพระเป็นเจ้านะ เราบวชมาแล้วเป็นพระ ความเป็นอยู่ของเรา เพราะเราเห็นความทุกข์ของโลก เราถึงได้ออกมาประพฤติปฏิบัติ
ในการประพฤติปฏิบัติ ในเมื่อชีวิต ในการเกิดมาเป็นมนุษย์ เวลาเกิดมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เรามีออกซิเจน เราได้ดำรงชีวิตด้วยทางสายสะดือ เกิดมาเราก็ยังมีชีวิตด้วยการกินคำข้าว
ทีนี้เราจะเลี้ยงศรัทธาในหัวใจของเรา เราบวชเพราะเรามีศรัทธามีความเชื่อว่ามีทางออก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเที่ยวสวน เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บคนตาย เราก็ต้องเป็นเช่นนั้น เพราะเราต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย แต่แสวงหาทางออกด้วยการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ฉะนั้นการแสวงหาทางออกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกรื้อค้นอยู่ ๖ ปี
แต่เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เราเกิดมาในพุทธศาสนา เราเกิดมาในประเทศอันสมควร ในประเทศที่เกิดมาที่พ่อแม่เป็นชาวพุทธ เราเกิดในประเทศที่นับถือพุทธศาสนา เราเกิดมาท่ามกลางประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธ เราถึงตั้งใจว่าเราจะหาทางออก เพราะว่าในพุทธศาสนาในธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถึงการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันยังไม่มีธรรมะ ไม่มีสิ่งใดชี้นำว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก แต่เพราะอำนาจวาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เลยคิดโต้แย้งกับทางโลกเขา คิดหาทางออกทางธรรม แล้วแสวงหาจนประสบผลสำเร็จ
เราเกิดมาเป็นสาวก สาวกะ เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เราเกิดมาท่ามกลางประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธ สอนถึงการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เราไม่ต้องไปแสวงหาเองโดยแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีธรรมะ
แต่เราขณะในปัจจุบันนี้เรามีศรัทธา เรามีความเชื่อ เราเลี้ยงหัวใจของเราด้วยความศรัทธา เราอยู่ด้วยศรัทธาความเชื่อเท่านั้น มีความเชื่อว่ามีการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บไม่ตาย แต่เราพยายามแสวงหาอยู่ว่าสิ่งที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันเป็นเช่นใด
เวลามันเกิด มันแก่ มันเจ็บ มันตาย มันเป็นเรื่องของการสุดวิสัย มันเป็นเรื่องของการที่มาโต้แย้งไม่ได้ เวลาเกิดมาแล้วเวลาเรื่องของการตายเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เป็นเรื่องของธรรมดา มันเรื่องธรรมดามันก็เป็นเรื่องของวัฏฏะนะ แต่มันมีสิ่งที่เหนือธรรมดาสิ มันมีเหนือการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย สิ่งที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วมันมาจากไหนล่ะ ?
สิ่งที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันก็มาจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายนั่นล่ะ ถ้าไม่มีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย แล้วอะไรมันไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายล่ะ? เพราะว่าการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ก็เกิดมาจากภวาสวะ เกิดมาจากภพ เกิดมาจากอำนาจวาสนาของตัว
ทีนี้การเกิดมาแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์ทีนี้เป็นวิบากเป็นผล มันเป็นผลของวัฏฏะ การเกิดเป็นผลของวัฏฏะ การเกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของวัฏฏะ แต่การเกิดเป็นพระ การเกิดมาในญัตติจตุตถกรรมเป็นพระ เกิดจากศรัทธาความเชื่อ เพราะรามีศรัทธาเรามีความเชื่อ เราหล่อเลี้ยงหัวใจเราด้วยศรัทธาด้วยความเชื่อเท่านั้นนะ
เราไม่ได้เลี้ยงหัวใจของเราด้วยคุณธรรม เราไม่ได้เลี้ยงหัวใจของเราด้วยความจริง ถ้าเราจะเลี้ยงหัวใจด้วยความจริง เราจะทำสิ่งใดให้สิ่งนั้นมันยืนอยู่ท่ามกลางหัวใจของเราได้
ถ้าหัวใจของเราเข้าไปสู่ความเป็นธรรม ดูสิ เราเป็นปุถุชน ปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล บุคคล ๘ จำพวก บุคคลใน ๘ จำพวก บุคคลคนเดียวเป็น ๘ คนได้อย่างไร เราไม่ใช่คนมีฤทธิ์นะ ไม่ใช่จุลปันถก เวลาบอกว่าให้ท่องสิ่งใดก็ไม่ได้ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว มีหนึ่งคนทำเป็นแสนคนก็ได้ ในวัดมีพระองค์เดียว มีพระเต็มวัดเลย
สิ่งนั้นเป็นเพราะเหตุใดล่ะ ? สิ่งนั้นเป็นเพราะฤทธิ์เพราะเดชใช่ไหม ? เพราะฤทธิ์เดชทำให้หนึ่งเป็นร้อยเป็นพันก็ได้ นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นหนึ่งแล้วเป็นร้อยเป็นพันก็ได้ แล้วเราเกิดมาโดยหัวใจของเรา มันจะเป็นร้อยเป็นพันมาจากไหนล่ะ ?
มันไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มาจากไหน ? เพราะมันมีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายนี้เอง เราถึงพยายามแสวงหาอยู่ ถ้าแสวงหาอยู่ความจริงมันอยู่ที่ไหนล่ะ ? นั่นมันเป็นศรัทธา เราเลี้ยงหัวใจด้วยศรัทธานะ เราเลี้ยงหัวใจด้วยความเชื่อ ความเชื่อความศรัทธาเราเลี้ยงหัวใจเราไว้แค่นี้เอง
แล้วชีวิตเรา เราจะเลี้ยงหัวใจเราไว้แค่นี้เองหรือ แล้วเวลามันเสื่อมศรัทธาขึ้นมาล่ะ แล้วหัวใจเราจะเอาไปไว้ที่ไหนล่ะ ถ้าเราไม่มีสิ่งใดที่เป็นความมั่นคงของเรา เราก็มีข้อวัตรปฏิบัติ
เวลาครูบาอาจารย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา จะสอนได้อย่างไร มันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์ ! มันเป็นความลึกลับ มันเป็นธรรมที่เหนือโลก มันเป็นธรรมที่ทำให้คนเราพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย
แต่ทำอย่างนั้น เดี๋ยวนี้มันเป็นเรื่องเด็กขายของนะ กลายเป็นการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องเด็กขายของ เรื่องค้ากำไรเล่นขายของ ยื่นกันไปยื่นกันมากลายเป็นว่าการปฏิบัติธรรมมันเหลวไหลไง แล้วเราเป็นใคร เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะเป็นธรรมทายาท แล้วมันมีสิ่งใดเป็นเครื่องดำเนินในหัวใจว่าจะเป็นธรรมทายาทล่ะ
เราบวชมานะ ต้นไม้นะปลูกแล้วถ้ามันไม่ตาย มันจะแก่ของมัน วงรอบปีของมันจะมีในเนื้อไม้นะ เขาจะพิสูจน์ได้ว่า ไม้นี้มีอายุเท่าไหร่ อายุพรรษาของเราจะแก่ไปข้างหน้า เราบวชมาแล้ว เราไม่ต้องห่วงหรอก ต่อไปจะไปเป็นหลวงปู่ทุกองค์ เป็นหลวงปู่แน่นอน ! มันแก่ชราคร่ำคร่าเป็นธรรมดาอยู่แล้ว อายุพรรษาเราจะมากขึ้นไปเรื่อยๆ อายุพรรษามากขึ้น เราจะเป็นศากยบุตรในสมมุตินี้แน่นอน ในสมมุติสงฆ์
แต่ในความรู้จริงล่ะ ในความเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจนี้ล่ะ ถ้าในความเป็นจริงในหัวใจของเรา เราอยู่กับโลกนะ เราเป็นโลกคนหนึ่ง เพราะอะไร เพราะเราเกิดมาจากพ่อจากแม่ เราเกิดจากกามคุณ ๕
กามคุณ คุณของกรรมพันธุ์ มันสืบต่อเผ่าพันธุ์ของมนุษย์นี้มา นี้มันเป็นกรรมพันธุ์ ฉะนั้นเราเกิดมาเราเกิดมากับโลก เราเกิดมาจากผลของวัฏฏะ เราเกิดมาแล้ว สิ่งนี้มันเป็นเรื่องโลกๆ ในเมื่อเป็นเรื่องโลก เราเกิดมาเป็นโลกอยู่แล้ว สิ่งที่เราเกิดมาในพุทธศาสนา เกิดมาในประเทศอันสมควร เกิดในพ่อในแม่ พ่อแม่ที่อนุญาตให้บวชได้
ถ้าพ่อแม่อนุญาตให้บวช พ่อแม่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมานะ ตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยนะ จนกว่าจะโตขึ้นมา จนทำมาหากินได้ แล้วจะทำมาหากิน ทำไมถึงต้องทำมาหากิน ทำไมมาเป็นคนจนตรอกจนมุม ทำไมไม่ทำสัมมาชีวะ นั่นมันเป็นเรื่องของไฟนะ โลกธรรม ๘
สิ่งที่โลกธรรม ๘ นะ ติฉินนินทาในสังคมโลก เราก็เห็นของเขาอยู่ แต่เพราะท่านอนุญาตมาให้บวช การเสียสละไง การเสียสละมา การเสียสละทางโลก เราจะปากกัดตีนถีบ พ่อแม่ก็หาอยู่หากินของพ่อแม่นี้ไป ถ้าลูกไปบวชได้ มันก็มีเสบียงกรังสัมภาระไว้ให้เป็นบุญกุศลของพ่อแม่ เพราะลูกบวช พ่อแม่ได้ ๑๖ กัป
๑๖ กัปเพราะอะไร เพราะได้เอาเผ่าพันธุ์ เอาเลือดเนื้อเชื้อไขมาค้ำจุนศาสนา เพราะมีความเชื่อความศรัทธาค้ำจุนศาสนา แต่จะค้ำจุนศาสนาด้วยความเป็นจริง จะเป็นหลักเป็นเกณฑ์ขึ้นมา จะชี้นำจะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้นกกามันอาศัย เราจะเอาอะไรเป็นเครื่องดำเนิน ถ้าเป็นเครื่องดำเนิน เราต้องฝึกฝนของเราขึ้นมา จากความเชื่อความศรัทธาสู่หัวใจนี้ เพราะความศรัทธาความเชื่อกล่อมเกลี้ยงหัวใจ ให้หัวใจมันมีเครื่องอยู่ของมัน
แล้วข้อวัตรปฏิบัติ เป็นข้อวัตรปฏิบัติเพื่อเป็นเครื่องดำเนินเข้าไปสู่สัจจะความจริง ถ้าเครื่องดำเนินเข้าไปสู่สัจจะความจริง นั่นเครื่องดำเนินมันไม่ใช่ตัวดำเนิน ตัวดำเนินคือสติมันต้องเป็นสติจริงๆ มันไม่ใช่มีสติแบบว่า มีสตินะ แล้วก็คอยเตือนกันไว้ว่า มีสตินะ
แต่ถ้ามีสติของมัน มันจะดูแลใจของมันเองได้ ถ้าใจที่มีสติ สติที่ควบคุมใจตัวเองได้ นี่สติจับ ปัญญาตัด มันจะจับของมันได้ มันจะควบคุมใจของมันได้ แล้วถ้าออกใช้ปัญญา ปัญญามันจะมาตัด มันจะมาชำระในหัวใจนั้น ถ้าชำระหัวใจนั้น มันเป็นข้อเท็จจริงนะ ถ้าเป็นข้อเท็จจริง ศรัทธาเป็นศรัทธา ความเชื่อเป็นความเชื่ออันหนึ่ง
เวลาพระสารีบุตรไปกล่าวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพูดว่า เราไม่เคยเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย สิ่งที่เราแสดงมา เราแสดงมาจากสัจจะความจริง จนพระไปฟ้อง..
สารีบุตรเธอไม่เชื่อเราเหรอ
แต่ด้วยบัณฑิตใช่ไหม เมื่อก่อนเชื่อ ดูสิ ! คำว่าเมื่อก่อนเชื่อ เพราะเมื่อก่อนยังตั้งตัวเองไม่ได้ เมื่อก่อนเรายังไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก เราจะยืนด้วยตัวของเราเองไม่ได้ เราจะไม่เชื่อใครเหรอ
เราพึ่งตัวเองไม่ได้ เราจะทำอย่างไรให้ตัวเรายืนอยู่ในสังคมนี้ได้ เกิดมาเราก็มีพ่อมีแม่ อยู่ในสังคมก็ต้องมีพรรคมีพวก พรรคพวกจะช่วยเหลือเจือจานกัน ถ้าเรายังไม่มีหลักเกณฑ์.. มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องอาศัยหมู่คณะ ต้องอาศัยสิ่งต่างๆ เพื่อเป็นเครื่องดำเนินต่อไป
เพราะสิ่งนั้นนี่ไง แต่ก่อนเชื่อ เพราะแต่ก่อนยังพึ่งตัวเองไม่ได้ แต่ในปัจจุบันประพฤติปฏิบัติขึ้นมาถึงที่สุดแล้ว ในปัจจุบันนี้ ไม่เชื่อ!! ไม่เชื่อเพราะเหตุใด ไม่เชื่อเพราะความเชื่อมันหล่อเลี้ยงใจมา ความเชื่อในศากยบุตรพุทธชิโนรส เชื่อลูกศิษย์ตถาคต
แต่เวลาปฏิบัตินี่นะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าในหัวใจมันเป็นสัจจะความจริงแล้ว ความจริงอันนั้นมันต้องเชื่อใคร แล้วความจริงอันนั้นมันอยู่ที่ไหนล่ะ ความจริงอันนั้นอยู่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ในใจของพระสารีบุตร
พระสารีบุตรนะลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว แล้วพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา เป็นผู้แสดงธรรม เลิศในทางปัญญา เป็นคนชี้นำ เป็นคนแยกแยะ เป็นคนคอยบอกสัทธิวิหาริกให้ประพฤติปฏิบัติเข้ามาให้สู่สัจธรรม
สิ่งที่พระสารีบุตรนิพพานไปแล้ว แล้วความจริงของเราล่ะ ถ้าเรามีความจริงของเราเองได้ ความจริงอันนั้นมันจะเป็นความจริงของเรา ถ้าความจริงอันนั้นของเรา เราจะยืนตัวของเราขึ้นมาได้ ใจของเราไม่ต้องไปอาศัยศรัทธาความเชื่อหล่อเลี้ยงไว้เท่านั้น ถ้าอาศัยความเชื่อหล่อเลี้ยงไว้เท่านั้นนะ มันก็เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ ถ้ามันศรัทธามั่นคง ศรัทธามันแสวงหาขึ้นมาเพื่อความชุ่มชื่นของมัน มันก็มีความสุขความร่มเย็นของมัน
แต่ถ้าศรัทธามันอ่อนด้อย ศรัทธามันเจือจานไป มันก็ทุกข์มันก็ยากของมัน ทำไมเราต้องอาศัยสิ่งหนึ่ง ดูสิ เวลาน้ำมันท่วมขึ้นมา น้ำมากเกินไปทำให้ชาวบ้านชาวเรือนเขาก็ทุกข์ยาก น้ำแล้งเกินไปก็ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองเขาทุกข์ยาก สิ่งใดที่มันมากเกินไป มันขาดแคลนเกินไปมันก็ไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์เลย มันทำลายทั้งนั้น มากเกินไปก็ทำลาย น้อยเกินไปก็ทำลาย
แล้วหัวใจเราล่ะ หัวใจเราจะเอาศรัทธาความเชื่ออยู่อย่างนั้นถ้ามันเชื่อก็เชื่อจนงมงาย เวลาเชื่อขึ้นมาสิ่งนั้นถูกต้องๆ เวลาปฏิบัติไปแล้วมันถูกต้องตามความจริงหรือเปล่าล่ะ มันก็ไม่ถูกต้องตามความจริงที่เราเป็นความจริงขึ้นมาเลย ถ้ามันขาดแคลนล่ะ ขาดแคลนก็เสื่อม พอเสื่อมขึ้นมาก็ทุกข์ก็ยากอีก แห้งแล้งๆ มีแต่ความทุกข์ความยาก
แต่ทำไมเรามีศรัทธาความเชื่อ แล้วความเชื่อมันแก้กิเลสไม่ได้ ความเชื่อมันเป็นศรัทธา ดูสิ กาลามสูตรไม่ให้เชื่อสิ่งต่างๆ แต่ถ้าไม่เชื่อเลย แล้วเราจะมาบวชเป็นพระนี้เหรอ เพราะทุกคนมีกิเลส ทุกคนก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้น ทุกคนเห็นแก่ตัวเองเพราะอยากเอาตัวเองให้พ้นจากทุกข์
เราทุกข์ยากใช่ไหม เพราะเราทุกข์ยาก เราเกิดมาในวัฏสงสาร มนุษย์สมบัติเป็นอริยทรัพย์ การเกิดเป็นมนุษย์ประเสริฐมาก เพราะมนุษย์มีสมอง มนุษย์เป็นสัตว์ที่เดินตัวตรง นอกนั้นเดินตัวแนบไปกับโลก พวกนี้เขาสร้างบุญกุศลได้ แต่เขาจะบรรลุธรรมไม่ได้ เขาไม่มีโอกาสเลย สัตว์เดรัจฉานไม่มีโอกาสเลย
แต่โอกาสของเขา ท้าวโฆสก หมา! หมานะมันไปคาบจีวรของพระปัจเจกพุทธเจ้าไปฉันทุกวัน ด้วยความผูกพันไปเกิดเป็นเทวดา หมามันยังทำคุณงามความดีแล้วไปเกิดเป็นเทวดา ! แล้วมนุษย์ทำอะไรกันอยู่ ถ้ามนุษย์มีศรัทธามีความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อที่มันเข้ามา กาลามสูตรไม่ให้เชื่อสิ่งใดๆ เลย
แล้วเรามีความจริงจังของเราหรือเปล่าล่ะ ถ้าเรามีความจริงจังของเรา เราต้องพิสูจน์กัน เราต้องทำขึ้นมาให้เป็นหัวใจของเราขึ้นมา ถ้ามันเป็นหัวใจของเราขึ้นมา สติเราตั้งขึ้นมาให้ได้ มีความหมั่นเพียร ก็หมั่นเพียรก็ทำอยู่อย่างนี้หมั่นเพียรทุกวัน นั่งสมาธิภาวนาก็ทำมาเต็มที่ ทำมาสักแต่ว่าทำ
คำว่าสักแต่ว่าคือทำแบบไม่มีปัญญาไง ทำแบบนั้นทำไมไม่พลิกแพลงอุบายวิธีการ ถ้าเดินจงกรมหมามันเดินดีกว่า หมามันวิ่งทั้งวันทั้งคืน เวลาหมามันวิ่งเป็นพรวนๆ เลย มันมี ๔ ขาด้วย เพราะอะไร เพราะมันเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันวิ่งไปด้วยสัญชาตญาณของมัน สัญชาตญาณของมันสั่งให้มันทำตามสัญชาตญาณของมัน
เราเป็นมนุษย์หรือว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ ถ้ามันเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิแล้วมันไม่ลง จิตมันไม่เป็นไปก็เชื่อ ก็เชื่อว่าที่ตั้งสติแล้ว ทำศีล สมาธิ ปัญญา มันจะเป็นสัจจะความจริง มันจะเป็นอริยสัจ มันจะเกิดขึ้นมาในหัวใจ ก็ทำอยู่อย่างนี้ทำไมมันไม่เป็นไป มันไม่เป็นไปเพราะอะไรล่ะ ไม่เป็นไปเราต้องย้อนกลับมานะ กลับมาทบทวนในตัวเราเอง
เวลาทุกข์เกิด ทุกข์ก็เกิดที่นี่ เวลาสุขมันเกิดที่นี่ ไม่เห็นสุขมันเกิดขึ้นมาสักที สุขอะไรมันเกิดขึ้นมา เวลาเราบวชขึ้นมาใหม่ๆ ทุกคนย้อนกลับไปวันบวชสิ วันบวชมีความแช่มชื่น มีความสุขใจนะ มันอิ่มในบุญ
เวลาบวชขึ้นมา เอาล่ะ ได้บวชเป็นพระแล้ว จะปฏิบัติล่ะ จะเอาจริงล่ะ! นี่ไงเวลามันเกิดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาได้ แต่เวลาคุ้นชินกับมัน อารมณ์มันก็เจือจานไป พอมันเจือจานไปมันอ่อนด้อยไป นี่คือศรัทธา เราดำรงสิ่งนี้ เราอาศัยความศรัทธาเป็นเครื่องดำรงชีวิตของเรา ดำรงความรู้สึกของเรา มันอันตรายไง เวลาศรัทธามีความมุ่งมั่นมานะมันก็อบอุ่น เวลามันเสื่อมไปมันจางไปเราก็ทุกข์ยาก พอเราทุกข์ยากขึ้นมา มันหันซ้ายหันขวามันจะหันไปที่ไหนล่ะ
แต่ถ้าเราสร้างคุณงามความดีของเราขึ้นมา เราสร้างความจริงของเราขึ้นมา เราเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา มันต้องหาทางสิ เดินไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าเดิน มันไม่ได้ มันไม่ลง เพราะเหตุใด มันไม่ได้มันไม่ลงเพราะอะไรมันก็ย้อนกลับมา
ครูบาอาจารย์ของเรา เวลานั่งสมาธิไม่ได้ ทำข้อวัตรไง เราขาดอะไร เราขาดสิ่งใด ถ้าขาดเราก็ทำของเรา ทำเสร็จแล้วนะ เวลาภาวนาของเรา เราไม่ต้องภาวนาให้ใครรู้ กลางคืนค่ำๆ มืดๆ เราก็ภาวนาของเรา แล้วถึงเวลาเราก็ทำของเรา อะไรมันเป็นความวิตกกังวล
นิวรณธรรม ๕ ความวิตกกังวล ความลังเลสงสัย ความไม่มั่นใจ ไม่มั่นใจในอะไร ทบทวนสิ ตั้งแต่บวชผิดตรงไหน อุปัชฌาย์อาจารย์ท่านบวชมาถูกต้อง พอบวชมาแล้วเราทำอะไรผิดบ้าง ความผิดก็ไม่เห็นเกิดขึ้นมากับเราเลย
ถ้าไม่มีความผิดเกิดขึ้นมามันผิดตรงไหน พอทบทวนมาไม่มีความผิดตรงไหน ถ้าไม่มีความผิดแล้วทำไมไม่เป็นไป เมื่อไม่เป็นความสมดุลมันเกิดมาที่ไหน สติเราสมควรไหม คำบริกรรมของเรามันทำมาแล้วมันมีอะไรโต้แย้งบ้าง มันทบทวนแล้วมันแสวงหาทางออก
ถ้าคนหาทางออก ดูสิ เวลาคนไปติดในหลุมในบ่อที่ไหน ถ้าเขาพยายามขวนขวายของเขา เขาพยายามส่งสัญญาณของเขา เขาต้องมีโอกาส มีคนช่วยเหลือเขาได้ แต่ถ้าเราไปติดอยู่ที่ไหนแล้วเราไม่แสวงหาสิ่งใดเลยนะ มันก็รอวันตายเท่านั้นนะ
นี่ก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติ จิตมันไม่เป็นไปเพราะเหตุใดต้องหาสิ พอหาขึ้นมามันก็แก้ไขใช่ไหม พอมันแก้ไขขึ้นมา พอเราได้สัมผัสขึ้นมานั้นความจริงเกิดแล้วนะ
ถ้าสติคือสติจริงๆ เวลาสมาธิมันจะเกิดขึ้นมา อาการวูบไป อาการวูบ อาการอะไรเข้าสู่สมาธิ ตกใจ ! เพราะเราคาดกันไว้ไง เราคาดว่าสมาธิจะเป็นอย่างนั้น ความสุขจะเป็นอย่างนั้น ความว่างจะเป็นอย่างนั้น พอไปเจอความจริงเข้ามันไม่เห็นเป็นตามที่คาดเลย เวลาคาดก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เวลาความจริงก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
ชื่อของคนๆ หนึ่ง เวลาไปเจอตัวจริงเข้าไปมันเหมือนชื่อของคนๆ นั้นไหม ชื่อคนนั้นเป็นคนๆ หนึ่งนะ เวลาเราไปเจอตัวเขา ตัวเขาทำไมไม่สมกับชื่อเขาเลย นี่ไงเห็นตัวเล็กๆ ไม่มีสิ่งใดเลยนะ แต่เวลาคุยกันตกใจนะ ทำไมปัญญาเขาเกิดได้ขนาดนี้ ไอ้เรานะสมอง โอ้โฮ ก้อนเบ้อเริ่มเทิ่มเลยนะ เวลาคิดอะไรออกมานะ ก็วนอยู่ในกิเลสของตัว วนอยู่อย่างนั้น ธรรมะจะเป็นสภาวะแบบนั้น ธรรมะจะเป็นสภาวะแบบนั้น ก้าวล่วงจากสิ่งนั้นไปไม่ได้ ดูตัวเองพลัดพรากจากธรรมนั้นไป นี่มันไปยึดไว้
การทำงานนะ มันจะผิดหรือมันจะถูกไม่ต้องไปตกใจเลย ถ้าเราไม่ลองผิดลองถูกเลย เราจะรู้อะไร เราไม่เคยทำสิ่งใดเลย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าถูกหรือว่าผิด ถ้ามันจะถูกหรือจะผิดมันก็ให้รู้ว่าถูกหรือว่าผิดต่อหน้านี้สิ ผิดจะได้แก้ไข ถูกมันก็ยังว่า เออ.. ถ้าถูกจะได้ทำให้มากๆ ขึ้น ถ้าถูกเราจะได้ทำให้มั่นคงขึ้น ถ้ามันถูกมันผิดขึ้นมาให้มันเกิดขึ้นมา ถ้ามันไม่ได้สิ่งใดเลยมันอัดอั้นตันใจ เพราะปฏิบัติไปแล้วนะ
กิเลสมันเป็นเรื่องอย่างนี้ กิเลสนะถ้าเราทำสิ่งใดจะเป็นประโยชน์ขึ้นมาบ้าง มันจะสวมรอยเลย จะเป็นอย่างนั้นนะ ต่อเนื่องอย่างนั้นนะ มันจะชักให้ออกนอกลู่นอกทางไปเลย แต่ถ้าเรามีสติขึ้นมา มันจะชักไปสิ่งใดนะ เราไม่ไป
มันมีเหตุผลสิ่งใด สิ่งที่จะคิดออกไปอย่างนั้น สิ่งที่จะมีปัญญาตามออกไปอย่างนั้น มันมีเหตุผลอะไรต้องให้คิดอย่างนั้น แต่ถ้ามันมีเหตุผลของเรานะ เราตั้งสติขึ้นมา เหตุผลของเราสิ เหตุผลของเรา กิเลสมันไม่มีเหตุผล ถ้าเราจะไปหาของเหตุผลกิเลสมันไม่มี เหตุผลไม่พอใจ คำว่าไม่พอใจไม่มีเหตุผลเลย ถามคนไม่พอใจเพราะอะไร ไม่รู้ ก็ไม่พอใจอ่ะ ไม่พอใจ แต่ไม่รู้ว่าไม่พอใจเรื่องอะไร
แต่ถ้าเป็นธรรมะนะ เราไม่พอใจเขาเรื่องอะไร เขาทำอะไรให้เรา ที่เขาทำ เขาทำเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษให้กับเรา เขาทำเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษให้สังคมหรือให้กับเรา ถึงเขาจะทำเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษก็เป็นเรื่องของเขา ใจเขาใจเรา สิ่งนี้เป็นบุญกุศลของเขา มันไม่เป็นบุญกุศลของเราเลย ถึงเป็นบาปหรือเป็นบุญก็เป็นของเขา เป็นบาปเป็นบุญก็เป็นบุญของเรา ถ้าเราทำดีบุญบาปก็เป็นของเรา ถ้าเราทำของเราอยู่นะ
เราอยู่ในท่ามกลางหมู่โจรนี่แหละ แต่ถ้าเขาทำของเขาแบบหมู่โจร เราไม่ทำไปกับเขา เราทำคุณงามความดีของเรา มันก็เป็นคุณงามความดีของเราวันยังค่ำ ผลของหมู่โจรก็เป็นของหมู่โจรนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา แต่ถ้าเราทำความดีมันก็ความดีของเรา ถ้าเราอยู่สังคมอย่างนั้นได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาอยู่กันไม่ได้ เพราะด้วยทิฐิมานะของตัว
เวลาทิฐิมานะของตัว สิ่งนั้นไม่เป็นความดีงามไปทั้งหมด สิ่งนั้นเป็นความผิดพลาดจากหลักเกณฑ์ไปทั้งหมด ความเห็นของเราจะมีความเห็นเป็นอย่างนั้น แต่เวลาทำขึ้นไป ความดีของเรามันก็ไม่มี ถ้าความดีของเรามีขึ้นมา สิ่งที่เขาทำไปมันก็เรื่องของเขา ถ้าปัญญาเรามันเกิดขึ้นมานะ
ในเมื่อกาลเวลาปัจจุบันนี้ เรายังมีชีวิตอยู่ เรามีการเคลื่อนไหวอยู่ เราทำคุณงามความดีของเรา ปัจจุบันนี้เขาจะทำคุณงามความดีหรือทำผิดพลาดของเขา นั่นเป็นเรื่องของเขา ถ้าเราทำของเราขึ้นมาอย่างนี้ เราทำปฏิบัติของเราขึ้นมาอย่างนี้ ประโยชน์มันเกิดกับเรานะ ถ้าประโยชน์มันเกิดขึ้นมากับเรา นี่มันไม่ใช่ศรัทธาไม่ใช่ความเชื่อ
ถ้าเรามีความเชื่อมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาใช่ไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธกิจ ๕ การกระทำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้คือหน้าที่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พุทธลักษณะ ! พุทธลักษณะ โอ้โฮ สวยงามไปหมดเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญกุศลมา เราก็หวังอย่างนั้น เราก็ต้องหวังว่าสิ่งใดก็แล้วแต่ต้องให้สถานที่ ต้องอยู่กับบัณฑิต ต้องมีนักปราชญ์ ต้องมีพระอรหันต์ทั้งหมด มีพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ เราเป็นองค์เดียวที่ไม่ใช่พระอรหันต์ที่ไปอยู่กับพระอรหันต์ จะให้สังคมให้ร่มเย็นเป็นสุข เราจะได้เป็นพระอรหันต์องค์ที่ ๕๐๑
คือเราไปเกี่ยงให้สังคมบริสุทธิ์ก่อน แล้วเราถึงบริสุทธิ์ตามสังคมนั้น แต่เราไม่คิดเลยว่าสังคมอย่างนั้นหาไม่มี สังคมอย่างนั้นไม่มี ! สังคมที่ว่าสังคมนี้ไม่มีใครผิดเลย เป็นพระอรหันต์หมด ๕๐๐ องค์ เราเป็น ๕๐๑ เราจะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบให้เป็นองค์ที่ ๕๐๑ สังคมอย่างนั้นจะหาที่ไหน
แต่ถ้าสังคมที่มันเป็นอย่างนี้ เราเกิดมาจากผลของวัฏฏะนะ เกิดมาแล้วมีศรัทธาความเชื่อ พอมีศรัทธาความเชื่อ พระพุทธศาสนากำลังเจริญรุ่งเรืองในการประพฤติปฏิบัติ แต่ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมาทุกคนก็ต้องแสวงหา ทุกคนก็พยายามจะดิ้นรน ทุกคนก็พยายามจะแก้ไขกิเลสของตัวเอง ทุกคนที่อยู่นี้ก็พยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นทั้งนั้นนะ ทุกคนก็มีความผิดเป็นธรรมดา ทุกคนก็มีกิเลสในหัวใจเป็นธรรมดา
เราบวชมาเราก็มีกิเลสมาทุกๆ คน แล้วเรามานี้เรามีความเชื่อในพุทธศาสนา เรามีความมั่นคงในพุทธศาสนา เราก็มาบวชเป็นพระ พอมาบวชเป็นพระขึ้นมา เป็นพระในหมู่สงฆ์ของเรา ในหมู่กรรมฐานของเรา
ในหมู่กรรมฐานของเรา มันมีโอกาสปฏิบัตินะ คำว่า พระป่าๆ พระป่าหมายถึงว่าวัตรปฏิบัติ ข้อวัตร ธุดงควัตร ๑๓ พระป่ามันอยู่ที่ถือผ้า ๓ ผืน ฉันมื้อเดียว อะไรต่างๆนี้ เพราะคำว่าฉันมื้อเดียว ไม่พะรุงพะรังในการฉันมื้อที่ ๒ มันไม่ต้องเก็บล้าง ต้องตัดความกังวล ตัดภาระหน้าที่ ตัดความเป็นอยู่ของโลกให้แคบที่สุด ให้น้อยที่สุด เพื่อเอาเวลามาประพฤติปฏิบัติ เอาเวลามานั่งสมาธิเดินจงกรมภาวนา นี่คือพระป่า !
พระป่าคือต้องการสงวนเวลาที่สุด สงวนความสงบสงัดที่สุด เพื่อให้เป็นการประพฤติปฏิบัติแล้วเราก็มีความมั่นใจ เราบวชมาเราก็อยากประพฤติปฏิบัติ เราก็อยากจะพ้นจากกิเลส แล้วพอบวชขึ้นมาแล้ว ในสังคมของพระป่าเขาก็เปิดโอกาสให้ประพฤติปฏิบัติ พระป่าเขาวัดกันที่นี่ เขาวัดกันที่การทำสมาธิภาวนา
เขาไม่ได้วัดกันที่ว่า พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ สะอาดบริสุทธิ์หมดเลย ฉันมาเป็นองค์ที่ ๕๐๑ ฉันมาสะอาดบริสุทธิ์ตาม หาสังคมอย่างนั้นหาไม่มีในโลก ไม่มี !
สิ่งที่มันไม่มี เราหาสิ่งที่มันไม่มีมันเป็นไปไม่ได้ แล้วความเชื่อของเรา เราก็คิดอย่างนั้น เราก็หวังสังคมอย่างนั้น เพื่อที่เราจะเป็นพระอรหันต์องค์ที่ ๕๐๑ แต่เราไม่คิดว่าสิ่งที่เราอยู่นี้มันเป็นสังคมที่เกิดขึ้นมาด้วยวัฏฏะ ด้วยผลของวัฏฏะ
สิ่งที่เป็นผลของวัฏฏะมันมีของมันอยู่แล้วใช่ไหม คำว่ามีอยู่แล้ว คือทุกคนมีอดีต มีประวัติมาทั้งนั้น ทุกคนนะ การเกิดมาชาตินี้ไม่ใช่ชาติที่ ๑ การเกิดการตายของเรามันมาไม่มีต้นไม่มีปลาย
จิตนี้มาจากไหน ? คนนี้เกิดมาจากอะไร ? ต่างๆ นี้มันมาจากไหน ? ผลของวัฏฏะที่มันเกิดซับซ้อนขึ้นมา พันธุกรรมของมันที่ซับซ้อนนั่งเป็นมนุษย์อยู่นี้ สิ่งที่เป็นพันธุกรรมแต่ละดวงจิตมามันจะเหมือนกันได้อย่างไร ลายพิมพ์นิ้วมือนี้มันยังไม่เหมือนกัน แล้วลายพิมพ์ของจิตมันจะเหมือนกันได้อย่างไร
ในเมื่อลายพิมพ์ของจิตมันไม่เหมือนกัน ! แต่เรามาอยู่ในสังคมเดียวกัน ! เรามาประพฤติปฏิบัติด้วยกัน ด้วยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเชื่อความศรัทธาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พันธุกรรมของใครของมัน เราก็ต้องรักษาเปลี่ยนแปลงแก้ไขพันธุกรรมของเราเท่านั้น!
ในใจของเรา กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา เราจะแก้กับมันอย่างไรเพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อหัวใจของเรา เพื่อคุณงามความดีของเรา เพราะเราเท่านั้นที่จะเอาใจของเราพ้นจากกิเลส เราเท่านั้นที่จะเอาใจของเราพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย
ผลในการบวชของเราเข้ามาในพุทธศาสนานี้ เป้าหมายของเราก็คือจะพ้นจากทุกข์เท่านั้น แต่ในเมื่อนกมันยังมีรวงมีรังใช่ไหม ในสังคมของสงฆ์ใช่ไหม มันมีของของสงฆ์ ของของบุคคล ของของสงฆ์หมายถึงของเป็นส่วนรวม ของบุคคลคือบริขาร ๘
สิ่งที่เป็นบริขาร ๘ เวลาบวชกับอุปัชฌาย์นะ นี่คือปัตตัง บริขารนี้เป็นของเธอหรือ เป็นของเธอหรือ เป็นของบุคคล !
แต่เราเข้ามาในหมู่สงฆ์ ของส่วนรวมนี้คือของของสงฆ์ ฉะนั้นสิ่งที่เขามีอยู่ ของของสงฆ์ มันก็มีกติกามีข้อวัตรปฏิบัติ มันก็มีกติกาไว้ให้มีการกระทำ ถ้ามีการกระทำ เราบวชมาแล้ว บวชเป็นพระขึ้นมาก็พ้นจากเรือน เป็นผู้ไม่มีเรือน ผู้ที่ไม่มีเรือนมันก็ต้องอยู่ในอาวาส อยู่ในที่ที่อยู่ของสงฆ์
ที่อยู่ของสงฆ์ ในเมื่ออยู่หมู่สงฆ์ขึ้นมา เรามีเป้าหมายคือการพ้นจากทุกข์ ถ้าเรามีเป้าหมายพ้นจากทุกข์ เราจะไม่มีสมบัติสิ่งใดๆ เป็นของส่วนตัวเราเลย สิ่งใดมันเป็นประโยชน์ในหมู่ชนของเราไง หมู่ชนของสงฆ์ หมู่ชนของสังฆะ หมู่ชนของผู้ที่มีคุณธรรมที่เจือจานกัน ดูแลกัน รักษากัน เผื่อแผ่กันด้วยน้ำใสใจจริง เพื่อให้การประพฤติปฏิบัติมันไม่ต้องไปวิตกกังวลไง
เข้าทางจงกรมนะ เราจะฆ่ากิเลส พอเข้าทางจงกรมไปก็ โน่นก็ไม่ถูก นั่นก็ไม่เป็นธรรม นี่ก็... เผาตัวเองทั้งนั้นเลยนะ มันเป็นธรรมและไม่เป็นธรรม มันพูดกันได้ เวลาคุยกัน เวลาเข้าไปในชุมชนนะ ไปในสงฆ์ เขาต้องขอนิสัย ขอนิสัยกับใคร ขอนิสัยกับหัวหน้า ถ้าจะขอนิสัยกับหัวหน้า ผู้ที่มีพรรษามากกว่า ขอนิสัยกับครูบาอาจารย์ ถ้าจะขอนิสัยกับครูบาอาจารย์ ถ้าเราอาศัยอยู่ใน ๗ วัน พอ ๗ วันนั้น จริตนิสัยเข้ากันไม่ได้ เราก็เก็บของไป
เขาไม่บังคับให้อยู่ด้วยกันนะ เขาให้อยู่ด้วยกันด้วยความเป็นธรรม ถ้าอยู่ด้วยกันด้วยความเป็นธรรม เราเห็นว่าในเมื่อสิ่งนี้เข้ากันได้ เป็นธรรมได้ เราก็ขอนิสัย พอขอนิสัยเราก็อยู่ร่วมกัน การมาอยู่ร่วมกันเพราะอะไร เพราะภิกษุเราอยู่บนศรัทธาความเชื่อของเขา ภิกษุเราไม่มีอาชีพ เราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง
บิณฑบาตออกไปนะ ปัจจัย ๔ บาตรเป็นอาหาร บิณฑบาตเลี้ยงชีพ ถ้ามันมีสิ่งใดตกบาตร ชีวิตเราก็อยู่รอด เราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงชีพด้วยศรัทธาความเชื่อของเขา ฉะนั้นเราไม่มีอาชีพ เราไม่มีสิ่งใดทำมาเพื่อเป็นความผูกพันกับโลกนี้ เพราะเราทิ้งมาแล้ว เราบวชมานี้ เราทิ้งมาแล้ว เราทิ้งสิ่งนั้นมา พอทิ้งมาแล้วเรามาบวชขึ้นมา ก็เป้าหมายเพื่อจะพ้นจากทุกข์
พ้นจากทุกข์ พอมันมีเวลา ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมเขาจะกันเวลานี้ไว้ให้ กันเวลาให้เรามีเวลาในการประพฤติปฏิบัติ เราต้องการความสงบสงัด มันต้องการกาลเวลา มันต้องการการฝึกหัดนะ
เหล็ก ! เขาจะตีเหล็ก เขาต้องเผา เขาต้องรอให้เหล็กมันอุณหภูมิมันถึงเขาถึงเอามันออกมาตี หัวใจของเราถ้ามันมีเวลา มีสติปัญญาขึ้นมา มีตบะธรรม ถ้ามีตบะธรรม มีการแผดเผา มีการกระทำขึ้นมา มันเป็นเรื่องของคุณธรรมของกรรมฐานเรา แต่ถ้าเราจะไปเอาแต่งานทางโลก งานทางโลกก็งานบริหารจัดการ ไอ้บริหารจัดการนั้น..
ดูในนวโกวาท เวลาอาบัติทุกข้อ เว้นไว้แต่สมมุติ สมมุติว่าให้บุคคลคนใดทำหน้าที่ สมมุติให้ ๒ คนนี้เป็นผู้แจกสลากภัต สมมุติให้สงฆ์องค์นี้เป็นผู้ดูแล สมมุตินะ เว้นไว้สมมุติ สมมุติองค์นั้นทำได้ ทำเพราะบริหารจัดการของของส่วนรวม ของของส่วนรวมไม่มีใครดูแลเลย ของของส่วนรวมใครจะเป็นคนดูแล ในนวโกวาทไปดูได้ เว้นไว้แต่สมมุติ สมมุติให้องค์นั้นเป็นผู้ควบคุมดูแลสิ่งนี้ก็เพื่อในหมู่ชนนั้น ในชุมชนนั้น ในหมู่สงฆ์นั้น เพื่อประโยชน์กับชุมชนนั้น
แล้วสิ่งนี้ มันก็จัดการขึ้นมาเพื่อสังฆะนั้น นี่คำว่าเป็นธรรมนะ ความที่เราจะหาหมู่ชน เราจะหาสังฆะหาที่ปฏิบัติ การหาที่ปฏิบัติ ปฏิบัติอะไร ฉะนั้นในเมื่อนกยังมีรวงมีรัง พระสงฆ์เราก็มีที่อาศัย คำว่าอาศัยมันเป็นข้อวัตรปฏิบัติมันก็ต้องมี ต้องมีต้องอาศัย แล้วโลกกับธรรมมันอยู่ด้วยกัน ฉะนั้นโลกกับธรรมมันอยู่ด้วยกัน เราจะบริหารจัดการด้วยธรรมของเรา
ธรรมของเราหมายถึงว่า ถูกต้องดีงาม ดูสิ บอกว่าบังคับใช้ด้วยกฎหมาย กฎหมายที่มีคุณธรรม กฎหมายนั้นเป็นธรรม หรือกฎหมายนั้นไม่เป็นธรรม แล้วธรรมวินัยของเราเป็นธรรมหรือเปล่า ตอนนี้พูดกันประจำนะ ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติมามันล้าสมัย มันครึ มันตั้ง ๒,๐๐๐ กว่าปี แต่ถ้ามันเป็นเรื่องแก้ไขทุกข์ แก้ไขทุกข์เพราะเราเกิดมาก็มีความทุกข์ เรามาเพื่อจะกำจัดทุกข์ของเรา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ ก็เพื่อการประพฤติปฏิบัติ เพื่อการแก้ไขทุกข์ ถ้าสิ่งใดที่มันไม่เป็นประโยชน์กับความเป็นอยู่ แต่มันเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติ อันนั้นจะเป็นคุณนะ เ
รามองเราคิดของเราในโลกปัจจุบัน เรามองเราคิดของเราด้วยโลกทัศน์ของเรา แต่เราไม่ได้มองไม่ได้คิดด้วยโลกของธรรม โลกของธรรมถ้าใจมันเห็นว่าเป็นธรรม มันเห็นว่าอะไรมันเป็นคุณธรรม อะไรเป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์
แต่ในปัจจุบันนี้เราอาศัยอะไรที่เป็นความสะดวกสบาย สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ สิ่งใดถ้าไม่ใช่ความสะดวกสบายมันไม่เป็นประโยชน์ เพราะอะไร เพราะความเห็นของเรา ความรู้สึกของเรา จิตใจของเรา มันยังมองถึงสิ่งที่เป็นโลกๆ
เพราะเวลาพูดธรรมะนะ บอกว่าธรรมะถ้าเป็นธรรมะจริงๆ ทำไมเราก็จะทำเหมือนเขานี่แหละ ยังมีการดูแลรักษา ยังมีการก่อสร้างอย่างนั้น ยังมีทำอย่างนี้ ก็นกมันมีรวงมีรัง ก็ทำไว้เพื่อหลบเพื่ออาศัย เพื่อหลบฝน
ดูสิ บริขาร ๘ จะห่มจีวรต้องมีปฏิสังขาโย ห่มเพื่ออะไร ห่มเพื่อกันร้อน กันหนาว เพื่อกันยุง กันความละอาย อาหารจะฉัน ฉันทำไม อ้าว..ก็ฉันไว้เพื่อดำรงชีวิต ไม่ได้ฉันเพื่อกาม เพื่อเกียรติ เพื่อศักดิ์ศรี เพื่อความดีงาม เห็นไหม ปฏิสังขาโย มีสติใช้สอย
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่สร้างไว้ก็มีสติใช้สอยเพื่อดำรงชีวิตนี้ไป เราดำรงชีวิตไว้ด้วยมาร เราดำรงชีวิตด้วยอวิชชา เราดำรงชีวิตไว้ด้วยการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ที่เรายังไม่มีเหตุมีผล
แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติ ท่านดำรงชีวิตรอวันตายนะ ชีวิตนี้อยู่เพื่อตาย ! เพราะตายจะได้จบกันไง แล้วเราดำรงชีวิตนี้ไปทำไม ดำรงชีวิตไปด้วยตัณหาความทะยานอยาก นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มองมันมองแตกต่างกัน ฉะนั้นคำว่ามองแตกต่างกันมันต้องกลับมาที่ใจของเรา เราจะมีใจไว้ทำไม เวลาเราประพฤติปฏิบัติเรามีหัวใจไว้ แต่ไม่รู้จักมันมีไว้ทำไม?
แต่ถ้าใครมีหัวใจนะ แล้วมีสติปัญญาเข้ามา ภวาสวะภพ แค่จิตเป็นสมาธิก็รู้แล้ว สมาธิมันเกิดที่ไหน? สมาธิมันตั้งอยู่บนอะไร? ไอ้นี่ ว่างๆ ว่างๆ สมาธิตั้งอยู่บนอวกาศ เวลาว่าง ว่างอยู่บนอวกาศนั้น แต่จิตนี้มุดอยู่ใต้นรก ไม่เห็นตัวไม่เห็นจิตเลย
แล้วไม่เห็นจิตแล้วใครเป็นคนว่าง ใครเป็นเจ้าของสมาธิ มันก็ว่ากันไป เพราะอะไร เพราะไม่มีสติปัญญายับยั้งหรือพิจารณาตรวจสอบใจของตัวเอง ถ้ามีสติปัญญาตรวจสอบใจของตัวเอง สติเราก็รู้ว่าสติเป็นอย่างไร
สติเขาว่าสติเป็นอย่างนั้น สติเป็นอย่างนี้ แต่เวลาสติของเรา แล้วเป็นมิจฉาขึ้นมา สตินี่ทื่อ มีสติพร้อมนะ ตาขวางไปหมดเลยมีสติพร้อม อันนั้นมันก็มิจฉา สติมันคือสติอย่างไร แล้วพอสติถ้าฝึกฝนขึ้นมามันมีสติ มันมีมหาสติ แล้วมันมีสติอัตโนมัติ สติมันแตกต่างกันอย่างไร? สติกับมหาสติมันแตกต่างกันอย่างไร? แล้วพอมีสติขึ้นมา สติมันยับยั้งใจได้ขนาดไหน? มหาสติมันยังยั้งตัวพลังงานเลย มันควบคุมพลังงานอย่างไร?
แล้วสติที่เกิดมาอัตโนมัติที่เกิดมาจากจิตเดิมแท้ จิตที่มันผ่องใสๆ ที่มันเกิดสติพร้อมมากับมัน แล้วมันจะรู้ตัวมัน มันเป็นอย่างไร? พอมันมาเห็นอาการอย่างนี้มันถึงรู้ว่า โอ้โฮ จิตมันเร็วขนาดนี้ จิตมันไปอย่างนั้น ความคิดมันไปอย่างนั้น เราตื่นเต้น ตื่นเต้น
หลวงตาท่านบอกว่า มันขี้เอาไว้ในหัวใจ มันไปแล้วนะ เราไปเห็นมัน เห็นอาการ เห็นความรู้สึก แล้วก็ตื่นเต้นหมดเลย แต่ถ้าปฏิบัติไปนะ มันรู้เท่าหมด ถ้าเราไม่รู้เท่า เราไม่ควบคุม เราไม่สามารถบริหารจัดการได้ เราจะทำงานให้จบนั้นได้อย่างไร? ถ้าเราไม่สามารถควบคุมพลังงาน ควบคุมตัวจิตได้ เราบริหารจัดการด้วยปัญญาที่จะไปทำลายกิเลสในหัวใจนั้นได้อย่างไร?
นี่คือมรรคญาณเวลามันเกิดขึ้นมา ถึงว่าสติเป็นอย่างนี้ มหาสติเป็นอย่างนี้ สติอัตโนมัติมันเป็นอย่างนี้ โอ้โฮ มันทึ่งๆ มันทึ่งในพระไตรปิฎกเหรอ ไม่ใช่ ! มันทึ่งในหัวใจผู้ปฏิบัติ มันรู้มันเห็นของมัน นี่ไง
เราทรงชีวิตนี้ไว้ด้วยศรัทธาความเชื่อนะ แต่ถ้าเราเห็นของเรา เราปฏิบัติของเรา เราไม่ได้ทรงชีวิต เราไม่ได้ทรงศรัทธา ไม่ได้ทรงอารมณ์ความรู้สึกของเราด้วยความเชื่อเท่านั้น เรารู้เราเห็น เราปฏิบัติ เรามีการกระทำ ความรู้ความเห็น ดูสิ เราทำสิ่งใดได้ ดูช่างนะ รถของช่างมันจะพังแหล่มิพังแหล่ทั้งนั้นนะ เพราะเขาซ่อมได้เขาไม่วิตกกังวลเลย
รถของเรานะ โอ้โฮ เช็ดซะวับเลย เพราะอะไร เพราะซ่อมไม่เป็น เวลามันเสียแล้วมันต้องส่งอู่มันทุกข์ แต่รถช่างไปดูสิ รถช่างล้อมันจะหลุดอยู่แล้ว เขาจะวิ่งปุเรงๆ เขาไม่สนเลย หลุดที่ไหนเขาซ่อมที่นั่น
จิตของเราถ้าเราประพฤติปฏิบัติเป็น ! เราไม่ได้อยู่ด้วยความเชื่อ เราแก้ไขได้หมด เราควบคุมใจได้หมด เราบริหารจัดการหัวใจเราได้เองหมด เราแก้ไขจัดการได้หมด มันจะไปวิตกกังวลกับอะไร มันไม่มีความวิตกกังวล ไม่ต้องตกอกตกใจ ไม่มีการหวั่นไหวไปกับใดๆ เลย มันทรงไว้ด้วยข้อเท็จจริงไง เราไม่ได้ทรงไว้ด้วยความเชื่อนะ ถ้าเราทรงไว้ด้วยความเชื่อ เราจะล้มลุกคลุกคลาน
แต่เริ่มต้นมันก็เริ่มต้นจากความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อมันเป็นหัวรถจักร ดึงให้เราเข้ามาบวช ดึงให้เราเข้ามาประพฤติปฏิบัติ มันดึงเข้ามาหมดเลย ดึงชีวิตเราทั้งชีวิตเลยมาเป็นพระเป็นเจ้า แล้วมันดึงชีวิตเข้ามาเพื่อศึกษาให้มันรู้จริงขึ้นมา
นี่ความเชื่อ แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เราจะทรงคุณธรรม ใจนี้จะทรงคุณธรรม มีความร่มเย็นเป็นสุข อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้
ชีวิตนี้ทางโลก อาบเหงื่อต่างน้ำ แบกหาม แล้วก็มีแต่ผล มีแต่ความเป็นพิษ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ อารมณ์ความรู้สึกมันคายพิษออกมาให้เราทุกข์ตลอดเวลา แล้วเราประพฤติปฏิบัติ เราพยายามใช้หัวใจของเรา ปฏิบัติด้วยหัวใจของเรา ให้มันคายออกมาเป็นมรรคเป็นผล ให้มันคายอารมณ์ความรู้สึกออกมาเป็นมรรคเป็นผลนะ ไม่ได้คายแต่อารมณ์ความที่เป็นพิษสิ่งที่เป็นพิษทำให้สังคมนี้เป็นพิษ แต่ถ้าสิ่งที่เป็นธรรม จะทำให้ใจนี้เป็นธรรม แล้วหัวใจเป็นธรรม เราจะทรงคุณธรรมไว้ในหัวใจของเรา! เอวัง.